เรื่องราว REVIEW การสอบ GMAT ตั้งแต่ วันแรก จนถึงวันที่ได้ตอบรับจาก University โดย น้อง T.
ในการเขียนบทความนี้ ใช้การเขียนในรูปแบบ บันทึกประสบการณ์ ในการเริ่มต้นวางแผน การเรียนต่อด้าน
Management ของน้อง T นับแต่วันที่เริ่มต้นแรงบันดาลใจนำไปสู่การเตรียมตัวในทุกๆด้าน จนถึงวันที่ได้
รับการตอบรับ จากมหาวิทยาลัยที่เลือกไว้
จุดเริ่มต้น ..
ก่อนอื่นเลย ผมขอแนะนำประวัติคร่าว ๆก่อนนะครับ 🙂 ผมเป็นนิสิตจบใหม่จาก ป.ตรี คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสีชมพู และแน่นอนครับเด็กรัฐศาสตร์ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นไม่ได้เรียนเลข และผมก็ไม่ได้แตะการเรียนเลขแม้แต่นิดเป็นเวลา 5 ปี ตลอดการเรียนที่มหาวิทยาลัยและการเรียนแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศส ความสนใจในการเรียนต่อทางด้าน management ใน business school พึ่งเริ่มขึ้นตอนที่ผมอยู่ในเทอมแรกของการเรียนในปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัย และการเตรียมตัวสอบ Gmat ของผมก็เริ่มขึ้นในเทอมปลายครับ ผมใช้เวลาเตรียมตัวทั้งสิ้น 4 เดือนตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม จนกระทั่งกลางเดือนกันยายนซึ่งเป็นการสอบครั้งสุดท้าย (ครั้งที่ 3) ของผมครับ และใช้เวลาอีกเดือนนึงในการเตรียม application ในการสมัครโท และสุดท้ายก็ทำสำเร็จครับ ด้วยคะแนน Gmat 650 (Quant 49, Verbal 29) (คะแนนนี้ แน่นอนว่าไม่ได้สูงที่จะทำให้ผมไปรีวิวได้อย่างเช่นในพันทิปตามกระทู้ต่าง ๆ แต่สำหรับผม ผมภูมิใจนะ5555 เพราะผมมาจากสายสังคมศาสตร์ และอีกอย่าง Gmat ก็ไม่ใช่ the end of the world อย่างที่เค้าพูด ๆ กันครับเพราะสุดท้ายมันก็เป็นเพียงแค่คะแนนในการใช้พิจารณาเท่านั้น)
หนังสือที่ใช้ในการเตรียมตัว
1. OG2021 ฉบับเต็มชุดรวมทั้ง Part verbal และ Part quant (สำคัญ)
2. OG verbal 2020 (สำคัญ)
3. OG quant 2020 (สำคัญ)
4. Kaplan (ในส่วนของ part verbal)
5. Powerscore Critical reasoning (สำคัญ)
6. Powerscore Reading comprehension (สำคัญ)
7. Manhattan sentence correction 5th edition (ดาวน์โหลดจาก google ฟรี) (สำคัญ)
8. Manhattan all the quant
9. Manhattan all the verbal
10. OG Advanced questions (ปริ้นมาแต่ไม่ได้ทำ 5555)
คอร์สที่เรียน
1. คอร์สเลข Gmat Quant Alchemist (คอร์ส by พี่เอ๋)
เวปไซด์อ้างอิง
https://rankings.ft.com/rankings/5/masters-in-management-2021
https://www.topuniversities.com/university-rankings/business-masters-rankings/management/2021
การเตรียมตัวสอบ Gmat
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการเริ่มเตรียมตัวสอบของผมนั้นเริ่มจริงจังในเดือน 5 แต่การสอบครั้งแรกของผมนั้นคือเดือนมกราคมครับ อันนี้เป็นการสอบทดลองสนามและในตอนนั้นผมก็ไม่ได้อ่านอะไรเข้าไปเลย (คิดว่าคงสอบเหมือน Ielts แต่มีเลขเข้ามา และคะแนนก็ไม่ได้เอาไปใช้อะไร) ซึ่งแน่นอนครับว่าผลคือ ผมได้ 470 (Quant 35, Verbal 20) ในตอนนั้นผมก็ไม่ได้เครียดอะไรเพราะคะแนนที่ผมได้ก็ไม่รู้จะเอาไปใช้อะไรและ ป.โท ที่ผมสมัคร (ไม่ใช่ business schoolที่ผมได้ในตอนนี้) ก็ไม่ใช้คะแนน Gmat (อันนี้ต้องเช็คดี ๆ นะครับเพราะในหลาย ๆ โปรแกรม โรงเรียนก็ไม่ได้ขอ Gmat) อย่างไรก็ตามการสมัครโทครั้งนั้น ในมหาวิทยาลัยฝรั่งเศสในโปรแกรมทางด้าน International Management นั้นผมไม่ได้รับการตอบรับครับ และผมก็รู้สึก fail มาก ๆ เพราะคิดว่า profile และ essay ผมก็ค่อนข้างดีแล้ว (ส่วนนึงอาจเป็นเพราะไม่ได้มีความรู้พื้นฐานทางด้าน management เลย แล้วจะใช้อะไรไปยืนยันกับทางโรงเรียนว่าผมจะเรียนด้านนี้ได้ 55555)
หลังจากที่ไม่ได้ ป.โท ผมก็เริ่มเครียดอย่างหนักด้วยความที่ว่าเพื่อนก็เริ่มที่จะได้งานหลังจากเรียนจบ และหลาย ๆ คนก็เตรียมสอบเข้านักการทูต แต่ผมนั้นยังไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง แต่ถ้าให้ผมไปสอบเป็นข้าราชการ ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ทางของตนเองเพราะผมเองก็สนใจในด้าน international management เป็นอย่างมากและอยากทำงานใน private sector ผมจึงได้เริ่มหามหาวิทยาลัยในด้านนี้อยู่หลายที่ และตั้งใจว่าจะสมัครหลายที่เช่นกันเพราะไม่อยากผิดหวังเหมือนในครั้งก่อนหน้านี้ ผมจึงได้ไปเจอเวปไซต์ที่เป็นการจัด ranking business school ครับ โดยเน้นไปที่ Master of Science ไม่ใช่ MBA เพราะ MBA นั้นผู้สมัครจะต้องมีประสบการณ์ทางด้านนี้ อย่างน้อย ๆ ก็ 2 ปีครับ โดยมหาวิทยาลัยส่วนมากที่ได้ศึกษาก็จะ require Gmat เพราะอันนี้เป็น business school ของจริงแล้ว 5555 ซึ่งสุดท้ายผมก็เล็งไว้ที่หนึ่งเป็นมหาวิทยาลัยในสเปนครับ ranking อยู่ที่ 16 ใน Financial time และ QS อยู่ที่ 4 (ranking ตาม MSc program นะครับขอย้ำไม่ใช่ MBA และเป็น ranking ในยุโรปไม่รวมอเมริกาครับ) ซึ่งมหาวิทยาลัยนี้ Gmat เฉลี่ยอยู่ที่ 660-670 (สูงอยู่นะ 5555) และในตอนนั้นเองผมก็รู้สึกท้อ ว่าเห้อจะไปถึงหรอตั้ง 660
หลังจากที่เกริ่นไปนาน ผมขอเริ่มเล่าการเตรียมตัวอ่าน Gmat ของผมนะครับ โดยก่อนอื่นเลยผมอ่านพันทิป 5555 อ่านหลายกระทู้มาก ๆ ครับว่าเขาทำอย่างไรกันพวกที่ได้ Gmat 700+ และผมก็ได้เริ่มซื้อหนังสือมาทำตามครับ โดยตอนแรกผมไม่ได้วางแผนการอ่านเลย กะคิดว่าเก็บแนวโจทย์ไปเรื่อย ๆ ใน OG คงทำให้ผมเก่งขึ้นมั้ง 5555 ผมก็ทำโจทย์ไปอย่างนั้นเช้ายันค่ำตั้งแต่ 9 โมงถึง 2 ทุ่ม และแม้ไม่ได้วางแผนการอ่าน ผมก็พยายามอ่านทั้ง 2 parts ครับทั้ง verbal และ Quant แต่ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนถ้าทำตามวิธีนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พอข้อหลัง ๆ ที่เป็นข้อยากใน OG จะทำไม่ได้และแน่นอน ก็เปิดเฉลยศึกษาสิครับ 55555 จะรออะไร ในตอนนั้นเองผมก็คิดว่าเออตัวเองน่าจะเก่งขึ้นนะ แต่อย่างไรก็ตามผมก็พยายามอ่านกระทู้ไปเรื่อย ๆ และเริ่มหาคอร์สเรียนครับ (แม้ว่าจะมั่นใจในตัวเอง แต่ก็เอาหน่าลองศึกษาพวกโรงเรียนหน่อย)
จนกระทั่งเจอพี่เอ๋ใน facebook และโทรถามพี่เขาในเดือน 5 ครับถึงความตั้งใจที่จะเรียนต่อ ป.โทและ ผมก็อธิบายให้พี่เค้าฟังคร่าว ๆ ครับถึงประวัติของผม และบอกว่าจะสอบในเดือน 7 (มั่นใจจัดว่าตนเองทำได้เพราะผมเป็นเด็กศิลป์คำนวณและเรียน IR ก็อ่านอังกฤษมาตลอด 4 ปี) แต่พี่เค้าบอกผมว่า สอบเดือน 8 ดีกว่านะเพราะ Gmat มันสอบได้แค่ 5 ครั้งต่อปี (ผมก็งงสิครับ นึกว่ามันสอบ เมื่อไหร่ กี่ครั้งก็ได้ เลยไปศึกษาเพิ่มและก็ใช่ครับมันสอบได้ 5 ครั้งต่อปี และ 8 ครั้งใน 1 ชีวิต!) แต่ตอนนั้นคอร์สพี่เค้าเต็มครับและเปิดอีกทีเดือน 6 สิ้นสุดเดือน 7 ผมก็คิดว่าเอองั้นสอบปลายเดือน 7 ก็แล้วกัน
ระหว่างรอคอร์สเปิด ผมก็ทำโจทย์ไปอย่างนั้นเรื่อย ๆ ไม่ได้มีการวางแผนใด ๆ ทั้งสิ้นจนทำจบ OG ไปทั้ง 2 เล่มตามที่ผมระบุลิสต์ไว้ข้างบนและอ่าน Manhattan all the verbal กับ Kaplanในส่วนของ Part verbal (ย้ำว่าอ่านทุกหน้าไม่ได้ทำแค่โจทย์) แต่วันก่อนที่จะเริ่มเรียน คอร์สผมได้ทำ mock test ใน Manhattam และผลคือผมได้ 510 (อึ้งสิครับ จะรออะไร55555) ผมอุตส่าห์อ่านอย่างอุตสาหะมาก็เดือนครึ่งแล้ว ทำไมได้แค่นี้ ผมจึงเริ่มกลับเข้า cycle เดิมคืออ่านกระทู้อย่างจริงจัง 55555 และผมก็สังเกตได้ว่าคนที่ได้ 700+ คือคนที่มีการจัดการวางแผนการอ่าน มีการดูจุดข้อผิดพลาดเวลาทำ และเริ่มจับเวลาในภายหลัง (สำคัญมาก ๆ ในการสอบ Gmat) ผมจึงได้วางแผนการอ่านหนังสือ (ดูได้จากรูปข้างล่างนะครับ โดยอ่านวันละ 2-3 บททั้ง part quant และ verbal) + เรียนคอร์สกับพี่เอ๋ครับ โดยพี่เค้าจะสอน strategy, tactics ต่าง ๆ ซึ่งตอนแรกเอาจริงผมก็งงเพราะคิดว่าทำได้ก็พอแล้ว (มั่นหน้าว่าเก่งเลข5555) แต่ไม่ใช่ มันต้องทำได้และอยู่เวลาที่จำกัด พี่ก็สอนว่ามันต้องมีข้ามบ้างไรบ้างในข้อยากไม่ใช่ทำทุกข้อ มันต้องปรับแก้ตรงไหนเทคนิคไหนที่เรายังไม่รู้ (เอาเป็นว่าพี่เอ๋ พึ่งทำให้ผมรู้จักว่า Gmat จริง ๆ มันคืออะไร และทำไมมันไม่ใช่ข้อสอบแค่เก่งเลขก็พอ) ซึ่งคำสอนนี้มันใช้ได้ทั้ง verbal และ quant ครับ (p.s. ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะโฆษณาว่าต้องไปเรียนนะ เพราะถ้าเก่งเลขอยู่แล้ว Gmat มันไม่ยาก แต่ที่มันยากคือพวก tactics strategy ในการทำนี่แหละครับ จะให้ไปศึกษาเองทำบ่อย ๆ มันก็ได้ แต่เสียเงินเรียนคอร์สที่โคตรถูกเทียบกับ สถาบันอื่นที่สอนเกิน 20,000+ มันก็คุ้มและย่นเวลาได้เยอะมาก ๆ และถ้าให้งม หาเองว่า Gmat ต้องอ่านอย่างไร ผมก็คงไม่ได้คะแนนนี้หลอกครับ 55555)
หลังจากที่จบคอร์สแล้วและอ่านหนังสือเป็นเล่ม ๆ ฝึกแต่ละ part เป็นบท ๆ ในหนังสือที่ผมเสนอแนะแล้ว ผมก็เริ่มจัดตาราง mock test ครับ โดยจากตอนแรกที่กะจะสอบปลายเดือน 7 ก็กลายเป็นกลางเดือน 8 ตามที่พี่เอ๋เค้าว่าไว้แหละครับ 5555 (อย่างกะทำนายดวง) และทุกครั้งที่ผมทำ mock test เสร็จผมก็จะส่งให้พี่เอ๋ดูครับ รวมทั้งข้อไหนที่ผิด ก็จะให้พี่เค้าดูว่ายากหรือง่าย ผิดเรื่องไหน (After service ที่นี่ดีจริง ๆ ขอย้ำครับ55555) โดยคะแนน mock จาก Manhattan ผมก็ขึ้นเรื่อย ๆ
ตั้งแต่ 510 >> 550 >> 600 >> 620 >> 640 >> 650 และหลังจากนั้น ผมก็ทำใน Official mock test ใน Gmac ครับ (ซื้อแม่ง 6 ชุดเลย เพราะกะทำยาว ๆ) โดยผมทำได้ 600 ในครั้งแรก (แอบตกใจอยู่ เพราะคิดว่าตนเองจะได้สูงกว่านี้แต่อาจเป็นเพราะ mock test part verbal ใน Manhattan และ Official มันต่างกันอยู่ครับ ส่วน part เลขนี่ง่ายกว่าเยอะ 5555 อ่อและ mock ครั้งนี้ผมดันไปเจอ RC 3 passages ติดกันในตอนต้น ผมก็เขวครับ) และในครั้งที่ 2 ที่ทำ mock test ผมได้ 700 ครับ ซึ่งผมก็งงตัวเองว่าทำไมคะแนนมันเหวี่ยงขนาดนี้ (อาจเป็นเพราะผมเจอข้อซ้ำ ๆ เยอะครับหลังจากทำโจทย์ไปไม่รู้กี่เล่ม 5555)
การสอบ Gmat ครั้งที่ 2
และแล้วการสอบ Gmat ครั้งที่ 2 ก็มาถึงครับ อันนี้คือจริงจังและ โดยวันสอบผมใส่กางเกงขาสั้น เสื้อยืด ถุงเท้า และรองเท้าแตะครับ กะเอาว่าทำเหมือนตอนอยู่บ้าน 5555 โดยผมเริ่มทำ part quant ก่อนครับ และต่อด้วย verbal และก็ AWA โดยก่อนสอบผมฟังเพลง แบบทำให้ตัวเองตื่นครับ (เอ้อลืมเล่า ผมเป็นคนที่ค่อนข้าง nervous และ panic ง่ายและการสอบแต่ละครั้งคือผมจะนอนไม่หลับคืนก่อนสอบ แต่โชคดีที่ว่าสอบตอนบ่าย ผมเลยได้นอนประมาน 3 ชั่วโมงครับ) พอเสร็จ part quant ผมก็รู้สึกมั่นใจว่าทำได้และก็กินขนมนิดหน่อย ก่อนไปทำ part verbal ครับ แต่ด้วยความตกใจหรืออะไรก็ไม่รู้ ผมรู้สึกว่าผมอ่านอะไรรู้เรื่องเลยใน part verbal และตอนหลัง ๆ ผมรู้สึกว่าสมองล้าจัด ๆ และก็ทำไม่ทันด้วย มั่วไปประมาน 10 ข้อได้ใน part verbal แต่ก้เอาหน่าทำไปแล้ว หลังจากนั้นผมคะแนนก็เด้งตอนสอบเสร็จ ผมได้ 610 ครับ (Quant 47, verbal 27) ถามว่าผิดหวังไหม ผมบอกได้เลยว่ามากครับ อุตส่าห์เตรียมตัวมาเป็นเดือน ๆ กะว่าอย่างน้อยขอ 630 ให้ชื่นใจหน่อยก็พอ แต่กับได้แค่นี้ ผมเลยส่งคะแนนไปพี่เอ๋ดูครับ พี่เค้าบอกว่าแปลกใจนะเพราะพี่เค้าคาดว่าผมจะได้ซัก 650-670 และให้ผมไปซื้อ ESR เพื่อจะได้ดูครับว่าพลาดตรงไหน
ในตอนนี้คือผมไม่ห่วง part quant และครับเพราะมันโอเครแล้ว แต่ใน part verbal ผมคิดว่าผมพลาดตรง SC เพราะผมคิดว่าผมเจอข้อง่าย (ขีดสั้น ๆ) แต่เปล่าเลย พอผมไปเช็คใน ESR ผมกับพบว่า SC ผมอยู่ใน percentile ที่ 85 ซึ่งโอเครมาก ๆ แต่ผมพลาดตรง RC และ CR ครับ ซึ่งถ้าไม่ซื้อ ESR ผมคงไปอ่านแต่ SC และครับ 55555
การสอบ Gmat ครั้งที่ 3
หลังจากผิดหวังในการสอบครั้งนั้น ผมก็ต้องเริ่มเตรียม essay ในการสมัครต่อโทและครับ แต่ผมก็ไม่ได้ล้มเลิกความพยายามในการสอบ Gmat ผมเลยได้ book สอบไว้ในปลายเดือน 9 ครับ โดยครั้งนี้ผมอ่านแบบชิว ๆ เพราะไม่อยากกดดันตัวเองอีก เดี๋ยวนอนไม่หลับ 5555 พร้อมแบ่งเวลาไปเขียน essay ครับ โดยพี่เอ๋ก็ได้แนะนำให้รู้จักกับพี่เอก ครูสอน part verbal ส่วนตัวครับ แต่ผมไม่ได้เรียนกับพี่เค้านะครับเพราะว่าพี่เอกตารางงานค่อนข้างแน่นครับ แต่พี่เอกช่วยผมเยอะมากในการสมัครโดย ดึงสติผมกลับมาหลังจาก 3 เดือนที่งมกับ Gmat ครับ พี่เอกสอนให้รู้ว่า Gmat มันเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในการพิจารณาไม่ใช่ทั้งหมดและคะแนนผมก็ถือว่าโอเครแล้ว ถ้าหาจุดพลาดอีกหน่อยก็พัฒนาได้โดยไม่ต้องเรียนครับ
ครั้งนี้ผมเลยอ่าน Gmat แบบชิวมาก ๆ โดยการทำโจทย์ใน Gmat club ไปเรื่อย ๆโดยทำตาม level ของข้อสอบครับ เลขแทบไม่ได้อ่านเลยครับและผมก็ไปสอบโดยครั้งนี้ผมเอา part verbal มาทำก่อนครับ ซึ่งสุดท้ายผลออกมาก็คือ 650 (Quant 49, Verbal 29) จริง ๆ ผมคิดว่า part verbal ครั้งนี้ ผมจะทำได้มากกว่านี้ถ้าไม่ประมาท 55555 เพราะครั้งนี้ผมทำข้อสอบ part verbal ทันครับ แต่ไปเร่งตอนท้ายเพราะตอนกลาง ๆ ชะล่าใจครับ เห็นเหลือเวลาเยอะเลยทำแบบชิว ๆ รวมทั้งผมเจอข้อที่เป็น bold face ในตอนกลาง ๆ ซึ่งเค้าว่ากันว่าคนที่เจอ bold face คือข้อที่ยากและคะแนนสูงครับ ผมเลยชะล่าใจ 55555 …ไม่น่าเลย ไม่งั้นโอเครกว่านี้แน่ (ลืมบอกไป ครั้งนี้คืนก่อนสอบผมนอนหลับครับ 5555)
ในท้ายสุด ผมเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า Gmat ไม่ใช่ข้อสอบจำหรือข้อสอบที่อึดฝึกทำทุกวันแล้วจะทำได้เพราะ Gmat เป็นข้อสอบที่ทดสอบทักษะ และ skill เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวในการสอบ Gmat จึงต้องใช้เวลาในการฝึกฝนครับ แต่การฝึกฝนทำก็ไม่ใช่ทุ่มสุดแบบผมนะครับ สามารถอ่านข้อแนะนำข้างล่างได้เลยครับ
ข้อเสนอแนะ
1. อย่างมอ่าน Gmat โดยไม่วางแผน การอ่าน Gmat คือต้องนึกเสมอว่าเราพลาดตรงไหน พลาดในหัวข้อไหนและการเริ่มจากอ่านทีละบทเพื่อทำความเข้าใจว่าสอบเรื่องไหนบ้างเป็นสิ่งสำคัญ มิฉะนั้นจะเสียเวลาทำโจทย์ไปเรื่อย ๆ แบบผม 55555 นอกจากนี้แล้วเราควรหา strategy และเรียนรู้ในการทำข้อสอบตอนทำ mock test ด้วย time management เป็นสิ่งสำคัญในการทำข้อสอบ (เค้าเปรียบไว้ว่าการทำแต่ละข้อก็เหมือนการลงทุน เราไม่สามารถลงทุนทุกที่ได้หมดด้วยทรัพยากรที่จำกัดเราจึงต้องฉลาดในการทำ)
2. อย่าอ่านกระทู้มากเกินไปจนเครียด ผมเคยเป็นหนึ่งในนั้นที่อ่านกระทู้เยอะมากทั้งใน Gmat club และพันทิป เพราะผมคิดว่ามันจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้นในการสอบ แต่สุดท้ายแล้วเราอ่านพอเป็นไกด์ว่าเตรียมตัวอย่างไรก็พอแล้วเพราะมิฉะนั้นจะเป็นดังในข้อ 3 ครับ
3. อย่า self-questioning ในความสามารถของตนเอง การเตรียมตัวสอบ Gmat อย่างที่บอก มันใช้เวลานานในการฝึก skill ซึ่งยิ่งฝึกไปเราก็จะถามตัวเองมากขึ้นว่าเก่งพอยัง ดีพอยัง ควรสอบไหม สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้เครียดและการประเมินผลว่าเราเก่งขึ้นไหมก็เป็นสิ่งที่ยาก เพราะการทำ mock test ก็บอกได้เพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
4. พูดถึง mock test ผมเห็นว่าควรเก็บไว้ใช้ก่อนสอบนะครับ อย่าทำเล่น ๆ เพราะมันแพง 55555 และมันหาข้อสอบดี ๆ ยากมาก ๆ ถึงแม้หลายสถาบันจะทำมาแต่ก็ไม่ตรงเสียทีเดียว เพราะฉะนั้นควรฝึกให้แน่ใจก่อนครับ ก่อนลงมือทำ และทำจริงจัง อย่าโกงอย่า pause อย่าหลอกตัวเอง ทำให้เหมือนสอบจริงมากที่สุดครับ
5. และสุดท้าย อย่าลืมว่า Gmat เป็นข้อสอบครับ ไม่ใช่ผล Admission ในการสมัครเรียนต่อ จริงครับที่ Gmat มีผลต่อการตอบรับแต่อย่าลืมว่าการเขียน essay และการตอบคำถามต่าง ๆ ก็มีส่วนไม่แพ้กันครับเพราะฉะนั้นเราควรให้ความสำคัญกับทุก ๆ ส่วนครับ
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านจนจบบรรทัดนี้
พี่เอ๋ – >> ดีใจมากที่น้อง T ยอมสละเวลาเขียนรวบรวมบทความนี้ขึ้น มาแชร์ให้น้องๆได้อ่านกัน
น้อง T. คงดีใจมาก หากว่าบทความในข้อเขียนชิ้นนี้จะเป็นแนวทาง และ แรงบันดาลใจในการเตรียมตัวสอบ GMAT ของใครๆที่กำลังตามมาในเส้นทางนี้ เพื่อเดินทางต่อไปสู่ Business School ที่มุ่งหวังต่อไป
อ่านแล้วมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยค่ะว่าเราไม่ได้รู้สึกท้ออยุ่คนเดียว
ขอบคุณ T ที่มาแบ่งปันประสบการณ์อย่างระเอียดมากนะคะ